Lots และ Leverage คืออะไร

Lot size คือ ขนาดการลงทุน ก่อนเราสั่งซื้อระบบจะให้เรากำหนด Lots ทุกครั้ง ดังนั้นเราต้องรู้ว่ากำหนด Lots อย่างไร กำหนดเท่าไหร่ ขาดทุนต่อจุดเท่าไหร่
 ขนาดมาตรฐานสำหรับ Lot คือ 100,000 units (หน่วย) ก็อธิบายง่ายๆ
1 lots =  100,000 units (หน่วย)
0.1 lots = 10,000 units (หน่วย)
0.01 lots = 1,000 units (หน่วย)

อธิบายให้เห็นภาพชัดๆ คือ
EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.1000
และเราซือ 1 lots = 100,000 หน่วย
EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.1001
ราคาขึ้นไป 1 pip เพิ่มขึ้น 0.001 x หน่วยที่เราซื้อ
ก็จะได้ 10$

สิ่งที่ต้องเข้าใจ เมื่อเรากำหนด Lots สั่งซื้อที่ 
1 Lots กำไร-ขาดทุน จุดละ (pip) = 10$
0.1 Lots กำไร-ขาดทุน จุดละ (pip) = 1$
0.01 Lots กำไร-ขาดทุน จุดละ (pip) = 0.1$

เราสามารถกำหนด Lots ได้อย่างอิสระในขอบเขที่ Broker กำหนด


Leverage คือ จำนวนเปอร์เซนที่ได้ที่โบรกเกอร์ให้ยืมเงินเพื่อทำการเปิดออเดอร์เทรด

ยกตัวอย่าง
เมื่อคุณจะซื้อ 1000 หุ้นในตลาดหุ้นโดยที่ราคาหุ้นละ 1$ ต่อหุ้น คุณต้องใช้เงิน 1000$ เพื่อซื้อ 1000หุ้น
แต่ถ้าสมมติมี Leverage 1:1000 เข้ามา คุณเพียงใช้เงิน 1$ เพื่อซื้อ 1000 หุ้น (1000$)

Leverage จะเกี่ยวข้องกับ Margin เมื่อเราเปิดออเดอร์จะต้องใช้เงินลงทุน หรือเงินมัดจำเอาไว้

จากรูปคือ Leverage 1:50 เมื่อเราเปิดออเดอร์ระบบจะดึงเงินลงทุนไปทันทีเข้าไปที่Margin 254.68 (เงินลงทุน) ดังนั้นเราก็เหลือ Free margin อยู่ 745.62  (Free margin ก็คือเงินที่เหลือใช้ในการเปิดออเดอร์ใหม่ หรือ เวลาขาดทุนก็สามารถขาดทุนได้ 754.62)

ถ้าสมมติ  Leverage 1:500 เมื่อเราเปิดออเดอร์เงินก็เข้าไป Margin เพียง 25.46$ คุณก็มี Free margin 982.6$ คุณก็มีเงินที่ใช้เปิดออเดอร์ใหม่ หรือสามารถทนขาดทุนได้982.6$ เพิ่มมากขึ้น

ในทางกลับกัน เวลาคุณเสียหาย หรือขาดทุนจนหมด Free margin 

Leverage 1:50 คุณได้เงินMargin คืนคือ 254.68$ ไว้เทรดต่อ

Leverage 1:500 คุณได้เงินMargin คืนเพียง 25.46$

Leverage ไม่ได้ทำให้คุณมีกำไร-ขาดทุน เพิ่มมากขึ้น เพียงทำให้เรามีกำลังซ์้อขายที่มากขึ้น

กำไร-ขาดทุนแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับ Lot size ที่อธิบายไว้ด้านบน กำหนด Lots เยอะ ก็ กำไร - ขาดทุน ต่อจุดเยอะ

Balance คือจำนวนเงินที่มีอยู่จริงในพอร์ท
Equity คือยอดเงินคงเหลือ หลังจาก บวกลบ ออเดอร์ที่กำลังเปิดอยู่
Margin คือจำนวนเงินที่เราใช้ลงทุนทั้งหมด คล้ายๆเงินมัดจำ หรือเงินประกัน
Free margin คือจำนวนเงินที่เหลือสำหรับจะเปิด Order ใหม่ หรือ ที่จะสามารถติดลบได้ ถ้าFree margin หมดออเดอร์ก็จะถูกปิดอัติโนมัติ และเหลือเงิน Margin คืนให้เรา

ส่วน Exness ให้ Leverage สูงถึง 1:2000 ทดลองบัญชี DEMO ฟรี

อ่านเพิ่มเติม >>

ข้อดี-ข้อเสีย ตลาด forex

ข้อดี
- ตลาด forex เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมาก
- เทรด Forex สามารถเริ่มต้นด้วยเงินเพียง 1$
- โบรกเกอร์แต่ละโบรกจะมีเปิดบัญชีแบบทดลองเทรด (เทรดเงินปลอม) ได้ฟรีๆ
- ซื้อขายออนไลน์ ผ่าน โปรแกรม MT4 ตลอด 24hr
- มี leverage ที่สูง ทำให้กำลังซื้อเรามากขึ้น ในทางกลับกันอาจทำให้เราขาดทุนมากขึ้น
- ตลาด Forex เปิด 24Hr จันทร์-ศุกร์  เปิดได้อย่างไรเพราะ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค ซึ่งเวลาทำการเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยก็จะเป็นดังนี้ (ถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ให้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง)

ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00
เช่น  เมื่อตลาดออสเตรเลียปิด ตลาดตลาดยุโรปก็เปิด ดังนั้นทั้งวันจะมีตลาดแต่ละประเทศเปิด ครบ 24 hr (เมื่อตลาดประเทศไหนเปิด ค่าเงินนั้นๆจะมีความผันผวนสูงขึ้น)

ข้อเสีย
- เมื่อสามารถสร้างเงินได้ง่ายๆ คนส่วนใหญ่โลภ และใช้อารมณ์ในการเทรด ซึ้งนำมาด้วยสูญเสียเงินทั้งหมด
- ปัจจุบันไทยยังไม่มีโบรกเกอร์ เราๆเลยสมัครกับ โบรกเกอร์ต่างประเทศ อาจมีปัญหาด้านการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ ***แต่Exness มีเจ้าหน้าที่ support เป็นภาษาไทยได้


เริ่มต้น เปิดบัญชี Demo (ทดลองเงินปลอม ฟรีๆ )

อ่านเพิ่มเติม >>

Forex คืออะไร

ประวัติของ FOREX
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ เริ่มต้นขึ้นในปี 1973 เนื่องจากระบบ Bretton Woods ของอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ถูกยกเลิก เพราะเป็นผลพวงของการสลับไปยังอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้ผู้เล่นหลายคนหลั่งไหลเข้ามา ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และนักค้าขายเหล่านี้เล่นในลักษณะเก็งกำไรค่อนข้างมาก ความผันผวนของค่าเงินจึงสูงขึ้น

FOREX คืออะไร
FOREX นั้นมีขนาดใหญ่ โดยมีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเกิน 5,000 ล้านดอลลาร์ ไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาดหุ้นใดในโลกที่สามารถเทียบเท่ากับ FOREX

FOREX ไม่ได้มีศูนย์เพียงแห่งเดียว การดำเนินการซื้อขายมีขึ้นแบบ"ไม่มีวันหยุด"ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยมีการซื้อขายสกุลเงินต่างๆ ในแต่ละวัน เช่น ปอนด์อังกฤษ (GBP), ยูโร (EUR), ดอลลาร์สหรัฐ (USD), เยน (JPY), ฟรังค์ (CHF), ดอลลาร์แคนาดา (CAD), ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) อื่นๆ อีกหลายประเทศที่มีสกุลเงินเป็นของตัวเอง

FOREX ก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ คือ ซื้อสินค้าในราคาถูกและขายให้ได้ราคาเดิม ราคาที่สูงกว่า(กำไร) และ ราคาที่ต่ำกว่า(ขายขาดทุน) เมื่ออยู่บนตลาดFOREX  สินค้าคืออัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศต่างๆ 


รูปแบบทำกำไรในตลาด Forex
**การซื้อ-ขาย จะเทียบกันระหว่าง 2 สกุลเงิน
ยกตัวอย่าง เราจะเลือกคู่เงินที่จะซื้อขาย เช่นเลือกคู่ USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย)

******สมมติ เรามีเงิน 10 ดอลลาร์สหรัฐ*********
--ราคา ณ ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยน  1 ดอลลาร์สหรัฐ = 32 บาท
เมื่อคาดว่าค่าเงิน "บาท" จะแข่งค่าขึ้น เราก็นำเงิน "ดอลลาร์" ไปแลกเปน "บาท" ไว้
ดังนั้น เมื่อเรามีเงิน 10 ดอลลาร์สหรัฐ ณ ปัจจุบัน เราแลกได้ 320 บาท
--เมื่อเวลาผ่านไป อัตราแลกเปลี่ยน
อยู่ที่  ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 30 บาท  (แสดงว่าค่าเงินบาทแข่งค่าขึ้น คือใช้เงินบาทในการแลกน้อยลง)
ดังนั้น ตอนนี้มีเงิน 320 บาท นำไปแลกกลับเป็นดอลลาร์ ได้ 10.67 ดอลลาร์ (320/30)
*******แสดงว่าเราได้กำไร 0.67 ดอลลาร์ *******

**ข้างบนนี้เทียบให้เห็นภาพว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ซื้อ-ขาย กันอย่างไร ขาดทุนกำไรอย่างไร แต่ถ้าเข้ามาเทรด Forex จริงจะมี Lots size และ Leverage เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เพื่อเพิ่มกำลังในการซื้อที่มากขึ้นจะอธิบายในหน้าต่อไป

เมื่อก่อน "คนธรรมดาไม่สามารถซื้อขายใน FOREX" ได้เนื่องจากหากต้องการดำเนินการในตลาดนี้ บุคคลนั้นจำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากอยู่ในมือ (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ดี ด้วยพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตและนายหน้า
ณ ปัจจุบัน เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงิน เพียง 1$ หรือประมาณ 30บาท

สามารถดูวีดีโอ อธิบายที่มากขึ้น

เจอกันที่บทต่อไปเลยครับ จะซื้อขายในตลาด Forex ได้อย่างไร

อ่านเพิ่มเติม >>